http://www.bestwitted.com ได้รวบรวมและกล่าวถึงปัญหาทางจริยธรรม ไว้ว่า
จริยธรรมของการทำวิจัย โครงสร้างทางจริยธรรมและหลักเกณฑ์ทางด้านศีลธรรม คุณธรรม ที่เป็นที่ยอมรับของการทำวิจัย
มีดังต่อไปนี้
1.สิทธิของบุคคล-
ถ้าละเมิดอาจผิดกฎหมาย
2.หลักความยุติธรรม-ผลการวิจัยต้องให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
โดยไม่ก่อให้เกิดความอคติต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
3.ความซื่อสัตย์
ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย ต้องซื่อสัตย์ (ห้ามแต่งเติมตัวเลขเด็ดขาดครับ)
4.คำนึงถึงผลประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย
ถ้าผลวิจัยมีความแม่นยำ
จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้วิจัยถึงแม้ผลวิจัยจะออกมาให้แง่ลบ
แต่ผู้วางแผนจะได้วางแผนงานล่วงหน้าได้อย่างถูกต้อง
กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยคือ ผุ้ว่าจ้าง, ผู้วิจัย และผู้ตอบ ลักษณะของแต่ละกลุ่มมีดังต่อไปนี้
ผู้ว่าจ้างไม่โฆษณาเกินความเป็นจริงจากผลการวิจัย
ไม่เผยแพร่ข้อมูลที่เป็นความลับจนกว่าจะได้รับอนุญาตจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
และรักษาข้อผูกมัดทางวิจัย เช่น หลังการวิจัย 10
ปีผู้วิจัยจึงจะสามารถขายข้อมูลได้
ผู้วิจัยต้องมีความรู้ในการทำวิจัย ไม่ควรนำเสนอข้อมูล
ที่มีความคลาดเคลื่อนสูง ต้องนำเสนอผลตามข้อเท็จจริง, ไม่สร้างข้อมูลขึ้นเอง และไม่นำข้อมูลไปขายให้คนอื่นๆ
ผู้ตอบตอบตามความเป็นจริง มีอิสระในการตอบ
ไม่ถูกบังคับหรือชักนำในการตอบ มีสิทธิในการปกปิดข้อมูลบางอย่าง เช่น ชื่อ, ที่อยู่
คุณสมบัติที่ดีของผู้วิจัย คือ มีความซื่อสัตย์, มีความรู้, ไม่มีอคติต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง
หรือ หัวข้อวิจัย,ไม่เอาความคิดส่วนตัวมาเป็นเครื่องตัดสินใจผลวิจัย, ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น,เป็นคนช่างสังเกต, ละเอียด, รอบคอบ , มีความอดทน ตรงต่อเวลา, มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี,และ รู้จักประหยัดใช้ทรัพยากรในการวิจัย
พิชิต ฤทธิ์จรูญ.
(2544 : 28). ได้กล่าวไว้ว่าปัญหาทางจริยธรรมหรือการผิดจรรยาบรรณ
มีการกระทำผิดทั้งผู้ทำวิจัยหรือผู้ขอทุนวิจัยและผู้ให้ทุนวิจัย
ซึ่งมีหลายลักษณะดังนี้
1.การตั้งชื่อเรื่อง
- ลอกเลียนแบบชื่อเรื่องงานวิจัยของผู้อื่น
- ตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้หน่วยงานโดยหวังผลประโยชน์ส่วนตน
2.การขอรับทุนสนับสนุน
- งานวิจัยเรื่องเดียวแต่ขอรับทุนหลานแหล่ง
- เปลี่ยนชื่อบางส่วน
เช่น เปลี่ยนชื่อจังหวัดแต่เนื้อในเหมือนกันหมดแล้วแยกกันไปขอทุน
- แอบอ้างชื่อนักวิจัยและที่ปรึกษาโครงการ
- การติดสินบนผู้พิจารณา
- ขอทุนแล้วเอาไปจ้างผู้อื่นทำต่อ
- การพิจารณาทุนมีการเกรงใจกันหรือใช้วิธีการตกลงกันล่วงหน้า
(lobby) มาก่อน
3.งบประมาณการวิจัย
- ตั้งงบประมาณสูงเกินจริง
และไร้เหตุผล
- ผู้ให้ทุนสร้างเงื่อนไขให้เบิกยาก
เช่น ใช้ระบบราชการเพื่อแลกกับผลประโยชน์บางอย่าง
4.การทำวิจัย
- แอบอ้างชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือวิจัยโดยส่งเครื่องมือไปให้เป็นพิธี
- ไม่ส่งผลงานวิจัยตามกำหนดเวลาที่ขอทุน
- ไม่ได้เก็บข้อมูลจริงใช้วิธีสร้างข้อมูลขึ้นมาใหม่
(ยกเมฆ)
- ยักยอกงบประมาณไปใช้ส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานวิจัย
- เร่งรีบทำวิจัยช่วงใกล้
ๆ วันจะส่งผลงานวิจัยทำให้ผลงานวิจัยไม่มีคุณภาพ
- ไม่มีความรู้พอที่จะทำวิจัย
5.การเขียนรายงานการวิจัย
- จูงใจ
เบี่ยงเบนผลการวิจัยโดยหวังผลประโยชน์ส่วนตน
- เขียนรายงานในสิ่งที่ไม่ได้ทำจริง
เช่น
ไม่ได้หาคุณภาพเครื่องมือวิจัยแต่เขียนว่าหาคุณภาพเครื่องมือวิจัยพร้อมทั้งรายงานค่าสถิติที่สร้างขึ้นเอง
เป็นต้น
- คัดลอกข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่อ้างอิง
- นำผลงานวิจัยผู้อื่นมาเปลี่ยนชื่อเป็นของตน
6.การส่งผลงานวิจัย
- ได้ทุนแล้วเมื่อครบกำหนดเงื่อนไขไม่ยอมส่งผลงานวิจัยให้หน่วยงานที่ให้ทุนตามสัญญา
- ไม่ได้แก้ตามประเด็นที่ตกลงไว้ก่อนรับทุน
และผู้ให้ทุนก็ไม่ได้ตรวจ
องอาจ นัยพัฒน์ (2548 : 24). ได้กล่าวไว้ว่า จริยธรรมและจรรยาบรรณในการวิจัย
ในกระบวนการแสวงหาความรู้ความจริงด้วยวิธีการวิจัย
นักวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์มักมีโอกาสเสี่ยงต่อปัญหาทางด้านจริยธรรม
(ethical problem) นานัปการ เช่นฃ
1.การละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว
(privacy) ของบุคคลแต่ละคนหรือกลุ่มชนแต่ละกลุ่ม
(ทั้งโดยการเฝ้าสังเกตการณ์และสอบถามเรื่องส่วนตัว)
2.การหลอกลวง (deception) หน่วยตัวอย่างที่ให้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการทำวิจัย
3.การบิดเบือนข้อค้นพบของการศึกษาวิจัย
รวมทั้งการแอบอ้างผลงานวิจัยของบุคคลอื่นมาเป็นของตนเอง (plagiarism) ปัญหาทางด้านจริยธรรมทางการวิจัยในด้านต่าง ๆ
เหล่านี้อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อหน่วยตัวอย่างที่ให้ข้อมูลทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
สรุป
จริยธรรมและจรรยาบรรณในการวิจัย
ในกระบวนการแสวงหาความรู้ความจริงด้วยวิธีการวิจัย
นักวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์มักมีโอกาสเสี่ยงต่อปัญหาทางด้านจริยธรรม
(ethical problem) นานัปการ เช่นฃ
1.การละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว
(privacy) ของบุคคลแต่ละคนหรือกลุ่มชนแต่ละกลุ่ม
(ทั้งโดยการเฝ้าสังเกตการณ์และสอบถามเรื่องส่วนตัว)
2.การหลอกลวง (deception) หน่วยตัวอย่างที่ให้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการทำวิจัย
3.การบิดเบือนข้อค้นพบของการศึกษาวิจัย
รวมทั้งการแอบอ้างผลงานวิจัยของบุคคลอื่นมาเป็นของตนเอง (plagiarism) ปัญหาทางด้านจริยธรรมทางการวิจัยในด้านต่าง ๆ
เหล่านี้อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อหน่วยตัวอย่างที่ให้ข้อมูลทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
อ้างอิง
http://www.bestwitted.com เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่
29 พฤศจิกายน 2555
พิชิต ฤทธิ์จรูญ.(2544).ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพมหานคร
: ครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏพระนคร,
2544. เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่
29 พฤศจิกายน 2555
องอาจ นัยพัฒน์.(2548).วิธีวิทยาการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.
กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัดสามลดา.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น